Thursday, January 6, 2011

<a href="http://www.patssiri.com">www.patssiri.com</a>

<a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a> by patsiri longsiri

pinklady for health and plug doctor save gas

อ้างถึง: นิทานชาดก - ค้นหาด้วย Google (ดูบน Google Sidewiki)

<a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a>

pinklady

อ้างถึง: Blogger: Dashboard (ดูบน Google Sidewiki)

<a href="http://www.postthailand.gagto.com">www.postthailand.gagto.com</a>

http://www.patsiri.com/
อ้างถึง: Post an Entry (ดูบน Google Sidewiki)

This is patsiri's site

This is patsiri's site สมุนไพรออนไลน์ natural herb online by patsiri.com
สรรพคุณ บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายช่วยบำรุงร่างกาย เปรียบเสมือนเป็น "ยาอายุวัฒนะ" เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคแก่ร่างกายช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อึดอัด หายใจไม่เต็มอิ่มช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไขข้ออักเสบช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อย เหน็บชา หน้าตาซีดเซียว แขนขาไม่มีแรงง่วงนอนเป็นประจำช่วยอาการมึนห้ว หน้ามืด ใจสั่น มือเท้าเย็นชาล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้นลดปริมาณไขมันในเส้นเสือด เบาหวาน ความดัน ความเครียด แก้กษัย โลหิตเป็นพิษ ไตพิการช่วยให้สมรรถภาพทางร่างกายดีขึ้น


sawaeng power b y <a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a>

probiotic herbals juice for good health and beauty skin care at www.patsiri.com

อ้างถึง: นิทานชาดก » นิทานชาดก (ดูบน Google Sidewiki)

<a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a>

<a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a>

<a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a>

<a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a>

<a href="http://www.patsiri.com">www.patsiri.com</a>

เกิดมาชาติหนึ่งนั้นอายุสั้นนักเมื่อเทียบกับเทวดาระดับต้นก้ 36000 ปีมนุษย์ เพราะฉนั้นอายุคนก็เมื่อเทียบกับเทวดาก็ เท่ากับมด หรือ ยุง หมัดหมา เห็นจะได้ จงรีบทำดี มีศีลห้าไว้ประจำ จิต ประจำ วาจา และ กายให้ตลอดชีวิต มีความ กตัญญู ต่อผู้มีพระคุณ เช่นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์
ภัทรศิริแสวง หลงศิริ

อ้างถึง: นิทานชาดก (ดูบน Google Sidewiki)

Wednesday, January 5, 2011

ทศชาติ : สุวรรณสามชาดก

ทศชาติ : สุวรรณสามชาดก

สุวรรณสามชาดก ครั้งหนึ่ง มีสหายสองคนรักใคร่กันมาก ต่างก็ตั้งบ้านเรือน อยู่ใกล้เคียงกัน ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ทั้งสองคนตั้งใจว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชาย ก็จะให้แต่งงาน เพื่อครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะได้ ผูกพันใกล้ชิดกันไม่มีเสื่อมคลาย อยู่ต่อมาฝ่ายหนึ่งก็มีลูกชายชื่อว่า ทุกูลกุมาร อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว ชื่อว่า ปาริกากุมารี เด็กทั้งสองมีรูป ร่างหน่าตางดงาม สติปัญญาฉลาดเฉลียว และมีจิตใจมั่นอยู่ในศีล เมื่อเติบโตขึ้น พ่อแม่ของทั้งสองก็ตกลงจะทำตามที่เคย ตั้งใจไว้ คือให้ลูกของทั้งสองบ้านได้แต่งงานกัน แต่ทั้งทุกูลกุมารและปาริกากุมารี ต่างบอกกับพ่อแม่ ของตนว่า ไม่ต้องการแต่งงานกัน แม้จะรู้ดีว่า ฝ่ายหนึ่ง เป็นคนดี รูปร่างหน้าตางดงาม และเป็นเพื่อนสนิท มาตั้งแต่เด็กก็ตาม ในที่สุด พ่อแม่ของทั้งสองก็จัดการแต่งงานให้จนได้ แต่แม้ว่าทุกูลและปาริกาจะแต่งงานกันแล้ว ต่างยังคงประพฤติ ปฏิบัติเสมือนเป็นเพื่อนกันตลอดมา ไม่เคยประพฤติต่อกัน ฉันสามีภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง สองคนมีความปราถนาตรงกัน คือประสงค์จะออกบวช ไม่อยากดำเนินชีวิตอย่างชาวบ้าน ธรรมดาซึ่ง จะต้องพัวพันอยู่กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเป็นอาหารบ้าง เพื่อป้องกันตัวเองบ้าง เมื่อได้อ้อนวอนพ่อแม่ทั้งสองบ้านอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด ทั้งสองก็ได้รับคำอนุญาตให้บวชได้ จึงพากัน เดินทางไปสู่ป่าใหญ่ และอธิษฐานออกบวช นุ่งห่มผ้าย้อม เปลือกไม้และไว้มวยผมอย่างดาบส บำเพ็ญ ธรรมอยู่ ณ ศาลาในป่านั้น ด้วยความเมตตาอันมั่นคง ของทั้งสองคน บรรดาสิงสาราสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็มีเมตตาจิตต่อกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ต่างหากินอยู่ด้วยความสุขสำราญ ต่อมาวันหนึ่ง พระอินทร์เล็งเห็นอันตรายซึ่งจะบังเกิดแก่ ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินี จึงตรัสบอกแก่ ดาบสว่า "ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่า อันตรายจะเกิดขึ้นแก่ท่าน ขอให้ท่านจงมีบุตร เพื่อเป็น ผู้ช่วยเหลือ ปรนนิบัติในยามยากลำบากเถิด" ทุกูลดาบสจึงถามว่า "อาตมาบำเพ็ญพรตเพื่อความพ้นทุกข์ อาตมาจะมีบุตรได้อย่างไร อาตมาไม่ต้องการดำเนินชีวิต อย่างชาวโลก ที่จะทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์อีก" พระอินทร์ตรัสว่า "ท่านไม่จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติ อย่างชาวโลก แต่ท่านจำเป็นต้องมีบุตรไว้ช่วย เหลือปรนนิบัติ ขอให้เชื่อข้าพเจ้าเถิด ท่านเพียงแต่เอามือลูบท้องนางปาริกา ดาบสินี นางก็จะตั้งครรภ์ ลูกในครรภ์นางจะได้เป็นผู้ดูแล ท่านทั้งสองต่อไป" เมื่อพระอินทร์ตรัสบอกดังนั้น ทุกูลดาบสจึงทำตาม ต่อมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนด ก็คลอดบุตร มีผิวพรรณงดงามราวทองคำบริสุทธิ์ จึงได้ชื่อว่า "สุวรรณสาม" ปาริกาดาบสสินี เลี้ยงดู สุวรรณสามจนเติบใหญ่อยู่ในป่านั้น มีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดแวดล้อมเป็นเพื่อนเล่น ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ สุวรรณสามหมั่นสังเกตจดจำสิ่งที่ พ่อและแม่ได้ปฏิบัติ เช่น การไปตักน้ำ ไปหา ผลไม้เป็นอาหาร เส้นทางที่ไปหาน้ำและอาหาร สุวรรณสามพยายามช่วยเหลือ พ่อและแม่ กระทำกิจกรรมต่างๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ่อแม่ ได้มีเวลาบำเพ็ญธรรมตามที่ประสงค์ วันหนึ่ง เมื่อทุกูลดาบสและนางปาริกา ออกไปหาผลไม้ในป่า เผอิญฝนตกหนักทั้งสองจึงหลบฝนอยู่ที่ ต้นไม้ใหญ่ใกล้ จอมปลวก โดยไม่รู้ว่าที่จอมปลวกนั้นมีงูพิษอาศัยอยู่ น้ำฝนที่ชุ่มเสื้อฝ้า และมุ่นผมของ ทั้งสองไหลหยดลงไปในรูงู งูตกใจจึงพ่นพิษออกมาป้องกันตัว พิษร้ายของงูเข้าตาทั้งสองคน ความร้ายกาจของพิษทำให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันที ทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินี จึงไม่สามารถจะกลับไปถึง ศาลาที่พักได้ เพราะมองไม่เห็นทาง ต้องวนเวียนคลำทางอยู่แถวนั้นเอง คนทั้งสองต้องเสียดวงตา เพราะกรรมในชาติก่อน เมื่อครั้งที่ ทุกูลดาบสเกิดเป็นหมอรักษาตา ปาริกา เกิดเป็นภรรยาของหมอนั้น วันหนึ่งหมอได้รักษาตาของเศรษฐีคนหนึ่งจนหายขาดแล้ว แต่เศรษฐีไม่ยอมจ่ายค่ารักษา ภรรยาจึงบอกกับสามีว่า "พี่จงทำยาขึ้นอย่างหนึ่งให้มีฤทธิ์แรง แล้วเอาไปให้เศรษฐีผู้นั้น บอกว่าตายังไม่หายสนิท ขอให้ใช้ยานี้ป้ายอีก" หมอตาทำตามที่ภรรยาบอก ฝ่ายเศรษฐีเชื่อในสรรพคุณยา ของหมอ ก็ทำตาม ตาของเศรษฐีก็กลับบอด สนิทในไม่ช้าด้วย บาปที่ทำไว้ในชาติก่อน ส่งผลให้ทั้งสองคนต้องตาบอดไปในชาตินี้ ฝ่ายสุวรรณสาม คอยพ่อแม่อยู่ที่ศาลา ไม่เห็นกลับมาตามเวลา จึงออกเดินตามหา ในที่สุดก็พบพ่อแม่ วนเวียนอยู่ข้างจอมปลวก เพราะนัยน์ตาบอด หาทางกลับไม่ได้ สุวรรณสามจึงถามว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อพ่อแม่เล่าให้ฟัง สุวรรณสามก็ร้องไห้ แล้วก็หัวเราะ พ่อแม่จึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้แล้วก็หัวเราะ เช่นนั้น สุวรรณสาม ตอบว่า "ลูกร้องไห้เพราะเสียใจที่พ่อแม่นัยน์ตาบอด แต่หัวเราะ เพราะลูกดีใจที่ลูกจะได้ ปรนนิบัติดูแล ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ที่เลี้ยงดูลูกมา พ่อแม่อย่าเป็นทุกข์ไปเลย ลูกจะปรนนิบัติ ไม่ให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนแต่อย่างใด" จากนั้น สุวรรณสามก็พาพ่อแม่กลับไปยังศาลาที่พัก จัดหาเชือก มาผูกโยงไว้โดยรอบ สำหรับพ่อแม่จะได้ใช้จับเป็นราวเดินไป ทำอะไรๆ ได้สะดวกในบริเวณศาลานั้นทุกๆ วัน สุวรรณสาม จะไปตักน้ำมา สำหรับพ่อแม่ได้ดื่มได้ใช้ และไปหา ผลไม้ในป่ามาเป็นอาหารและตนเอง เวลาที่สุวรรณสามออกป่าหาผลไม้ บรรดาสัตว์ทั้งหลาย จะพากันมาแวดล้อมด้วยความไว้วางใจ เพราะสุวรรณสาม เป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่เคยทำอันตรายแก่ฝูงสัตว์ สุวรรณสามจึงมีเพื่อนแวดล้อมเป็นบรรดา สัตว์นานาชนิด พ่อแม่ลูกทั้งสามจึงมีแต่ความสุขสงบ ปราศจาก ความทุกข์ร้อนวุ่นวายทั้งปวง อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาแห่งเมืองพาราณสี พระนามว่า "กบิลยักขราช" เป็นผู้ชอบออกป่าล่าสัตว์ พระองค์เสด็จออกล่าสัตว์ มาจนถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามมาตักน้ำไปให้พ่อแม่ พระราชาสังเกตเห็น รอยเท้า สัตว์ชุกชุมในบริเวณนั้น จึงซุ่มคอยจะยิงสัตว์ที่ผ่านมากินน้ำ ขณะนั้น สุวรรณสามนำหม้อน้ำมาตักน้ำไปใช้ที่ศาลาดังเช่นเคย มีฝูงสัตว์เดินตามมาด้วยมากมาย พระราชาทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงแปลกพระทัยว่า สุวรรณสามเป็นมนุษย์หรือเทวดา เหตุใดจึง เดินมา กับฝูงสัตว์ ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าสุวรรณสาม จะตกใจหนีไป ก็จะไม่ได้ตัวจึงคิดจะยิงด้วยธนูให้หมด กำลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถาม เมื่อสุวรรณสามลงไปตักน้ำแล้ว กำลังจะเดินกลับไปศาลา พระราชากบิลยักขราชก็เล็งยิงด้วยธนูอาบยา ถูกสุวรรณสาม ที่สำตัวทะลุจากขวาไปซ้าย สุวรรณสามล้มลงกับพื้น แต่ยังไม่ถึงตาย จึงเอ่ยขึ้นว่า "เนื้อของเรากินไม่ได้ หนังของเราเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ จะยิงเราทำไม คนที่ยิงเราเป็นใคร ยิงแล้วจะ ซ่อนตัวอยู่ทำไม" กบิลยักขราชได้ยินวาจาอ่อนหวานเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกพระทัย ทรงคิดว่า "หนุ่มน้อยนี้เป็นใครหนอ ถูกเรายิงล้มลงแล้ว ยังไม่โกรธเคือง กลับใช้ถ้อยคำอันอ่อนหวาน แทนที่จะด่าว่า ด้วยความ โกรธแค้น เราจะต้องแสดงตัวให้เขาเห็น" คิดดังนั้นแล้ว พระราชาจึงออกจากที่ซุ่มไปประทับอยู่ข้างๆ สุวรรณสาม พลางตรัสว่า "เราชื่อกบิลยักขราช เป็นพระราชา แห่งแมืองพาราณสี เจ้าเป็นผู้ใด มาทำอะไรอยู่ในป่านี้" สุวรรณสามตอบไปตามความจริงว่า "ข้าพเจ้าเป็นบุตรดาบส ชื่อว่าสุวรรณสาม พระองค์ยิงข้าพเจ้าด้วยธนูพิษ ได้รับ ความเจ็บปวดสาหัส พระองค์ประสงค์อะไรจึงยิงข้าพเจ้า" พระราชาไม่กล้าตอบความจริง จึงแสร้งตรัสเท็จว่า "เราตั้งใจจะยิงเนื้อเป็นอาหาร แต่พอเจ้ามาเนื้อก็ เตลิดหนีไปหมด เราโกรธจึงยิงเจ้า " สุวรรณสามแย้งว่า "เหตุใดพระองค์จึงตรัสอย่างนั้น บรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่านี้ไม่เคยกลัวข้าพเจ้า ไม่เคยเตลิด หนีข้าพเจ้าเลย สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า" พระราชาทรงละอายพระทัยที่ตรัสความเท็จแก่สุวรรณสาม ผู้ถูกยิงโดยปราศจากความผิด จึงตรัสตามความจริงว่า "เป็นความจริงตามที่เจ้าว่า สัตว์ทั้งหลายมิได้กลัวภัย จากเจ้าเลย เรายิงเจ้าก็เพราะความโง่เขลาของเราเอง เจ้าอยู่กับใครในป่านี้ ออกตักน้ำไปให้ใคร" สุวรรณสามบ้วนโลหิตออกจากปาก ตอบพระราชาว่า "ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งตาบอดทั้งสองคน อยู่ในศาลา ในป่านี้ ข้าพเจ้าทำหน้าที่ปรนนิบัติพ่อแม่ ดูแลหาน้ำและอาหาร สำหรับท่านทั้งสอง เมื่อข้าพเจ้า มาถูกยิงเช่นนี้ พ่อแม่ก็จะไม่มี ใครดูแลปรนนิบัติอีกต่อไป อาหารที่ศาลายังพอสำหรับ 6 วัน แต่ไม่มีน้ำ พ่อแม่ของข้าพเจ้าจะต้องอดน้ำและอาหาร เมื่อปราศจากข้าพเจ้า โอ พระราชา ความทุกข์ ความเจ็บปวด ที่เกิดจากถูกยิงด้วยธนูของท่านนั้น ยังไม่เท่าความทุกข์ ความเจ็บปวดที่เป็นห่วงพ่อแม่ของข้าพเจ้า จะต้องได้รับ ความเดือดร้อนเพราะขาดข้าพเจ้าผู้ปรนนิบัติ ต่อไปนี้พ่อแม่คงไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าอีก แล้ว" สุวรรณสามรำพันแล้วร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจอย่างยิ่ง พระราชาทรงได้ยินดังนั้นก็เสียพระทัยยิ่งนักว่า ได้ทำร้าย สุวรรณสามผู้มีความกตัญญูสูงสุด ผู้ไม่เคยทำอันตราย ต่อสิ่งใดเลย จึงตรัสกับสุวรรณสามว่า "ท่านอย่ากังวลไปเลย สุวรรณสาม เราจะรับดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ของท่านให้เหมือน กับที่ท่านได้เคย ทำมา จงบอกเราเถิดว่าพ่อแม่ของท่านอยู่ที่ไหน" สุวรรณสามได้ยินพระราชาตรัสให้สัญญาก็ดีใจ กราบทูลว่า "พ่อแม่ของข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มาก นัก ขอเชิญเสด็จไปเถิด" พระราชาตรัสถามว่า สุวรรณสามจะสั่งความไปถึงพ่อแม่ บ้างหรือไม่ สุวรรณสามจึงขอให้พระราชาบอกพ่อแม่ว่า ตนฝากกราบไหว้ลาพ่อแม่มากับพระราชา เมื่อสุวรรณสาม ประนมมือกราบลงแล้ว ก็สลบไป ด้วยธนูพิษ ลมหายใจหยุด มือเท้าและร่างกายแข็งเกร็งด้วยพิษยา พระราชาทรงเศร้า เสียพระทัยยิ่งนัก รำลึกถึงกรรมอันหนักที่ได้ก่อขึ้นในครั้งนี้ แล้วก็ทรงระลึกได้ว่า ทางเดียวที่จะช่วยผ่อนบาปอันหนักของ พระองค์ได้ก็คือ ปฏิบัติตามวาจาที่สัญญาไว้กับสุวรรณสาม คือไป ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สุวรรณสาม เหมือนที่สุวรรณสามได้เคยกระทำมา พระราชากบิลยักขราชจึงนำหม้อน้ำที่สุวรรณสามตักไว้นั้น ออกเดินทางไปศาลาที่สุวรรณสามบอกไว้ ครั้นไปถึง ทุกูลดาบสได้ยินเสียงฝีเท้าพระราชา ก็ร้องถามขึ้นว่า "นั่นใครขึ้นมา ไม่ใช่สุวรรณสามลูกเราแน่ ลูกเรา เดินฝีเท้าเบา ไม่ก้าวหนักอย่างนี้" พระราชาไม่กล้าบอกไปในทันทีว่าพระองค์ยิงสุวรรณสาม ตายแล้ว จึงบอกแต่เพียงว่า "ข้าพเจ้าเป็นพระราชา แห่งเมืองพาราณสี มาเที่ยวยิงเนื้อในป่านี้" ดาบสจึงเชิญ ให้พระราชาเสวยผลไม้ และเล่าว่าบุตรชายชื่อสุวรรณสาม เป็นผู้ดูแลจัดหาอาหารไว้ให้ ขณะนี้สุวรรณสาม ออกไปตักน้ำ อีกสักครู่ก็คงจะกลับมา พระราชาจึงตรัสด้วยความเศร้าเสียพระทัยว่า "สุวรรณสาม ไม่กลับมาแล้ว บัดนี้สุวรรณสามถูกธนูของ ข้าพเจ้าถึงแก่ ความตายแล้ว" ดาบสทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เสียใจยิ่งนัก นางปาริกาดาบสินีนั้นแต่แรกโกรธ แค้นที่พระราชา ยิงสุวรรณสามตาย แต่ทุกูลดาบสได้ปลอบประโลมว่า "จงนึกว่าเป็นเวรกรรมของสุวรรณสามและของเราทั้งสองเถิด จงสำรวมจิตอย่าโกรธเคืองเลย พระราชาก็ได้ยอมรับผิดแล้ว" พระราชาตรัสปลอบว่า "ท่านทั้งสองอย่ากังวลไปเลย ข้าพเจ้าได้สัญญากับสุวรรณสามแล้วว่าจะปรนนิบัติ ท่านทั้งสองให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเคยทำมาทุกประการ" ดาบสทั้งสองอ้อนวอนพระราชาให้พาไปที่สุวรรณสาม นอนตายอยู่ เพื่อจะได้สัมผัสลูบคลำลูกเป็นครั้งสุดท้าย พระราชาก็ทรงพาไป ครั้นถึงที่สุวรรณสามนอนอยู่ ปาริกาดาบสินีก็ช้อนเท่าลูกขึ้นวางบนตัก ทุกูลดาบส ก็ช้อนศีรษะสุวรรณสามประคองไว้บนตัก ต่างพากัน รำพันถึงสุวรรณสามด้วยความโศกเศร้า บังเอิญปาริกา ดาบสินีลูบคลำบริเวณหน้าอกสุวรรณสาม รู้สึกว่ายังอบอุ่นอยู่ จึงคิดว่าลูกอาจจะเพียงแต่ สลบไป ไม่ถึงตาย นางจึงตั้ง สัตยาธิษฐานว่า "สุวรรณสามลูกเราเป็นผู้ที่ประพฤติดีตลอดมา มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่อย่างยิ่ง เรารักสุวรรณสาม ยิ่งกว่าชีวิตของเราเอง ด้วยสัจจวาจาของเรานี้ ขอให้พิษ ธนูจงคลายไปเถิด ด้วยบุญกุศลที่สุวรรณสามได้เลี้ยงดู พ่อแม่ตลอดมา ขออานุภาพแห่งบุญจงดล บันดาลให้ สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาเถิด" เมื่อนางต้งสัตยาธิษฐานจบ สุวรรณสามก็พลิกกายไป ข้างหนึ่งแต่ยังนอนอยู่ ทุกูลดาบสจึงตั้งสัตยาธิษฐาน เช่นเดียวกัน สุวรรณสามก็พลิกกายกลับไปอีกข้างหนึ่ง ฝ่ายนางเทพธิดาวสุนธรี ผู้ดูแลรักษาอยู่ ณ บริเวณ เขาคันธมาทน์ ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า "เราทำหน้าที่ รักษาเขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน เรารักสุวรรณสาม ผู้มีเมตตาจิต และมีความกตัญญูยิ่งกว่าใคร ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้พิษจงจางหายไปเถิด" ทันใดนั้น สุวรรณสามก็พลิกกายฟื้นตื่นขึ้น หายจาก พิษธนูโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นดวงตาของพ่อและแม่ ของสุวรรณสามก็กลับแลเห็นเหมือนเดิม พระราชา ทรงพิศวงยิ่งนัก จึงตรัสถามว่าสุวรรณสามฟื้นขึ้นมา ได้อย่างไร สุวรรณสามตอบพระราชาว่า "บุคคลใดเลี้ยงดูปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักใคร่เอาใจใส่ เทวดาและมนุษย์ย่อมช่วยคุ้มครองบุคคลนั้น นักปราชญ์ย่อม สรรเสริญ แม้เมื่อตายไปแล้ว บุคคลนั้นก็จะได้ไปบังเกิด ในสวรรค์ เสวยผลบุญแห่งความกตัญญูกตเวทีของตน" พระราชากบิลยักขราชได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัสตรัสกับ สุวรรณสามว่า "ท่านทำให้จิตใจและดวงตาของ ข้าพเจ้า สว่างไสว ข้าพเจ้ามองเห็นธรรม ต่อนี้ไป ข้าพเจ้าจะรักษาศีล จะบำเพ็ญกุศลกิจ จะไม่เบียด เบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว" ตรัสปฏิญญาณแล้วพระราชาก็ทรงขอขมาโทษที่ได้กระทำ ให้สุวรรณสามเดือดร้อน แล้วพระองค์ก็เสด็จ กลับพาราณสี ทรงปฏิบัติตามที่ได้ตรัสไว้ทุกประการจนตลอดพระชนม์ชีพ ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่ บำเพ็ญเพียรใน ทางธรรมเมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก ร่วมกับพ่อแม่ ด้วยกุศลกรรมที่กระทำมาคือ ความเมตตากรุณาต่อมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย และความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา อันเป็นกุศลกรรมสูงสุดที่บุตรพึงกระทำต่อบิดามารดา

คติธรรม : บำเพ็ญเมตตาบารมีว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใดๆ ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้
ภัทรศิริแสวง หลงศิริ

แสวงภัทรศิริ หลงศิริ: ทศชาติ : ชนกชาดก

แสวงภัทรศิริ หลงศิริ: ทศชาติ : ชนกชาดก: "ทศชาติ : ชนกชาดก วันนี้รับศีลห้าหรือยัง ขอให้ตั้งสัจจะ รับศีลห้าไว้ทุกวัน จะทำมาค้าขึ้น ตายไปได้ขึ้นสวรรค์แสวง ภัทรศิริ หลงศิริwww.patsiri...."

ณ เมืองมิถิลาแห่งรัฐวิเทหะ พระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า พระเจ้ามหาชนก ทรงมีพระโอรสสององค์ คือ เจ้าอริฏฐชนก และ เจ้าโปลชนก เจ้าอริฏฐชนกทรงเป็นอุปราช ส่วนเจ้าโปลชนกทรง เป็นเสนาบดี เมื่อพระราชบิดาสวรรคต เจ้าอริฏฐชนกผู้เป็นอุปราช ก็ได้ครองบ้านเมืองต่อมา เจ้าโปลชนกทรงเป็นอุปราช ทรงเอาใจใส่ดูแลบ้านเมืองช่วยเหลือพระเชษฐาอย่างดียิ่ง มีอำมาตย์คนหนึ่งไม่พอใจพระเจ้าโปลชนก จึงหาอุบายให้ พระราชาอริฏฐชนกระแวงพระอนุชา โดยทูลพระราชาว่า เจ้าโปลชนกคิดขบถ จะปลงพระชนม์พระราชา พระราชาทรงเชื่อคำ อำมาตย์ จึงให้จับเจ้าโปลชนกไปขังไว้ เจ้าโปลชนกเสด็จหนี ไปจากที่คุมขังได้หลบไปอยู่ที่ชายแดนเมืองมิถิลา เจ้าโปลชนก ทรงคิดว่า เมื่อครั้งที่ยังเป็นอุปราชนั้น มิได้เคยคิดร้ายต่อพระราชา ผู้เป็นพี่เลย แต่ก็ยังถูกระแวงจนต้องหนีมา ถ้าพระราชาทรงรู้ว่า อยู่ที่ไหนก็คงให้ทหารมาจับไปอีกจนได้ บัดนี้ผู้คนมากมาย ที่ชายแดนที่เห็นใจ และพร้อมที่จะเข้าเป็นพวกด้วย ควรที่จะรวบรวมผู้คนไปโจมตีเมืองมิถิลาเสียก่อนจึงจะดีกว่า เมื่อคิดดังนั้นแล้ว เจ้าโปลชนกก็พาสมัครพรรคพวกยกเป็น กองทัพไปล้อมเมืองมิถิลา บรรดาทหารแห่งเมืองมิถิลาพากัน เข้ากับเจ้าโปลชนกอีกเป็นจำนวนมาก เพราะเห็นว่าเจ้าโปลชนก เป็นผู้ซื่อสัตย ์และมีความสามารถ แต่กลับถูกพระราชาระแวง และจับไปขังไว้โดยไม่ยุติธรรม ครั้นเมื่อเจ้าโปลชนกมีผู้คนไพร่พลเข้าสมทบด้วยเป็นจำนวน มากมายเช่นนี้ พระเจ้าอริฏฐชนกทรงเห็นว่า ไม่มีทางจะเอาชนะ ได้ จึงตรัสสั่งพระมเหสีซึ่งกำลังทรงครรภ์แก่ ให้ทรงหลบหนี เอาตัวรอด ส่วนพระองค์เองทรงออกทำสงคราม และสิ้นพระชนม์ ในสนามรบ เจ้าโปลชนกจึงทรงได้เป็นกษัตริย์ ครองเมืองมิถิลาสืบต่อมา ฝ่ายพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก เสด็จหนีออกจาก เมืองมา ตั้งพระทัยจะเสด็จไปอยู่เมือง กาลจัมปากะ แต่กำลังทรงครรภ์แก่ เดินทางไม่ไหว ด้วยเดชานุภาพ แห่งพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์ พระอินทร์จึงเสด็จมาช่วย ทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนมาที่ศาลาที่ พระนางพักอยู่ และถามขึ้นว่า "มีใครจะไปเมืองกาลจัมปากะบ้าง" พระนางดีพระทัยรีบตอบว่า "ลุงจ๋า ฉันจะไปจ๊ะ" พระอินทร์แปลงจึงรับพระนางขึ้นเกวียน พาเดินทางไป เมืองกาลจัมปากะ ด้วยอานุภาพเทวดา แม้ระยะทาง ไกลถึง 60 โยชน์ เกวียนนั้นก็เดินทางไปถึงเมืองในชั่ววันเดียว พระมเหสีเสด็จไปนั่งพักอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งในเมืองนั้น บังเอิญมีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่งเดินผ่าน มาเห็น พระนางเข้า ก็เกิดความเอ็นดูสงสาร จึงเข้าไปไต่ถาม พระนางก็ตอบว่าหนีมาจากเมืองมิถิลา และไม่มีญาติพี่น้องอยู่ ที่เมืองนี้เลย พราหมาณ์ทิศาปาโมกข์จึงรับพระนางไปอยู่ด้วย ที่บ้านของตน อุปการะเลี้ยงดูพระนางเหมือนเป็นน้องสาว ไม่นานนัก พระนางก็ประสูติพระโอรส ทรงตั้งพระนามว่า มหาชนกกุมาร ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกา ของพระกุมาร มหาชนกกุมารทรงเติบโตขึ้นในเมืองกาลจัมปากะ มีเพื่อนเล่นเด็กๆ วัยเดียวกันเป็นจำนวนมาก วันหนึ่ง มหาชนกกุมารโกรธกับเพื่อนเล่น จึงลากเด็กคนนั้นไปด้วย กำลังมหาศาล เด็กก็ร้องไห้บอกกับคนอื่นๆ ว่า ลูกหญิงม่าย รังแกเอา มหาชนกกุมารได้ยินก็แปลกพระทัยจึงไปถาม พระมารดาว่า "ทำไมเพื่อนๆ พูด ว่า ลูกเป็นลูกแม่ม่าย พ่อของลูกไปไหน" พระมารดาตอบว่า "ก็ท่านพราหมณ์ทิศา ปาโมกข์นั่นแหล่ะเป็น พ่อของลูก" เมื่อมหาชนกกุมารไป บอกเพื่อนเล่นทั้งหลาย เด็กเหล่านั้นก็หัวเราะเยาะ บอกว่า "ไม่จริง ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่พ่อของเจ้า" มหาชนกก็กลับมาทูลพระมารดา อ้อนวอนให้บอกความจริง พระมารดาขัดไม่ได้ จึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระโอรสทรงทราบ เมื่อพระกุมารทราบว่าพระองค์ทรงมี ความเป็นมาอย่างไร ก็ทรงตั้งพระทัยว่าจะร่ำเรียนวิชาการเพื่อให้มีความรู้ความสามารถ จะได้เสด็จไปเอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืนมา ครั้นมหาชนกกุมารร่ำเรียนวิชาในสำนักพราหมณ์จนเติบใหญ่ พระชนม์ได้ 16 พรรษาจึงทูลพระมารดาว่า "หม่อมฉันจะเดินทาง ไปค้าขาย เมื่อมีทรัพย์สินมากพอแล้ว จะได้คิดอ่าน เอาบ้านเมืองคืนมา" พระมารดาทรงนำเอาทรัพย์สินมีค่ามาจากมิถิลา 3 สิ่ง คือ แก้วมณี แก้วมุกดา และแก้ววิเชียร อันมี ราคามหาศาล จึงประทานแก้วนั้นให้พระมหาชนกเพื่อนำไปซื้อสินค้า พระมหาชนกทรงจัดซื้อสินค้าบรรทุกลงเรือร่วมไปกับ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ ในระหว่างทาง เกิดพายุใหญ่ โหมกระหน่ำ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก บ

ทศชาติ : ชนกชาดก

ทศชาติ : ชนกชาดก

วันนี้รับศีลห้าหรือยัง ขอให้ตั้งสัจจะ รับศีลห้าไว้ทุกวัน จะทำมาค้าขึ้น ตายไปได้ขึ้นสวรรค์แสวง ภัทรศิริ หลงศิริwww.patsiri.com

Sunday, January 2, 2011

Hotmail - longpat1@hotmail.com - Windows Live

http://sn124w.snt124.mail.live.com/default.aspx?loc=TH&wa=wsignin1.0
อมร...สมเป็นนครมหาราชา... หลายๆท่านคงคุ้นเคยกับเพลงๆนี้...กรุงเทพฯเป็นเมืองที่หลายๆคนใฝ่ฝันอยากมาเห็นความเจริญรุ่งเรือง แสงสี ที่ยั่วเย้า...ให้ผู้คนหลงใหล ความสวยงามของแสงสียามค่ำคืน จนบางคนบอกว่าเป็นเมืองฟ้า เมืองสวรรค์...


การที่กรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงของเรา ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของความเจริญด้านต่างๆ ทั้งศูนย์การค้า การคมนาคมที่ทันสมัย(รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน )สนามบินสุวรรณภูมิที่ใหญ่และสวยงาม(สร้างนาน..น..ที่สุดด้วย) เป็นศูนย์รวมการค้าการลงทุน การเมือง การบันเทิง ศูนย์รวมของคนทุกภาคก็มาทำงานที่นี่ และยังมีแหล่งรวมสถานที่สำคัญๆก็อยู่ที่นี่ รวมถึงมหาอำนาจก็คือกรุงเทพฯนี่เอง ( อย่ายึดแต่อำนาจ...ยึดใจให้ได้เสียก่อน )

มุมมองของคนต่างจังหวัด...มองกรุงเทพฯ
โอ้...กรุงเทพฯช่างเป็นเมืองแห่งการแสวงโชค...หางานทำ...น่าตื่นตา ตื่นใจ...น่าหลงใหล ผู้คนก็แต่งตัวสวยงาม...โก้เก๋ ศูนย์รวมแฟชั่น ผู้คนก็พูดจาไพเราะห์(แต่จริงใจหรือไม่?...เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตึกรามบ้านช่องก็ใหญ่โต รถยนต์ก็มากมาย...เหตุผลที่คนกรุงเทพฯชอบอ้างนักอ้างหนาและฟังจนเบื่อ...แต่ก็ใช้ได้ผลตลอดกาล คือ...รถติด...ที่ว่ารถติด...อยากรู้ว่าติดอย่างไร? อยากมาสัมผัสดูบ้าง? อยากขึ้นรถไฟฟ้ามหานครรอบกรุงเทพฯ อยากขึ้นรถใต้ดินดูบ้างว่าสนุกใหม? อยากมาเห็นวัดพระแก้ว อยากมาทำงานและอยากลองใช้ชีวิตแบบชาวกทม.ดูบ้างว่าเป็นอย่างไร? รถเมล์กทม.มันแน่นเหมือนปลากระป๋องอย่างที่เขาว่าจริงหรือ? ผู้คนไม่ค่อยทักทายกัน บ้านติดกันก็ไม่คุยกันจริงหรือเปล่า? บ้านเรารู้จักกันทั้งอำเภอ เห็นคนบอกว่ากทม.เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้จริงหรือ? จึงมีผู้คนมากมายพยายามมาค้นหาคำตอบด้วยตนเอง

มุมมองที่คนกทม....มองกทม...เอง...
กรุงเทพฯ...นั้นเป็นศูนย์รวมของความเจริญและความเสื่อมพอๆกัน ผู้คนที่ประสบความสำเร็จก็มีมาก ...ผู้คนที่ล้มเหลวก็มีไม่ใช่น้อย มีการต่อสู้แข่งขันกันตลอดเวลา ทั้งการทำงานและการดำเนินชีวิต
ด้านการทำงาน มีการนำเทคโนโลยีชั้นสูงที่ทันสมัยมาใช้ทุกรูปแบบซึ่งมักเริ่มต้นที่นี่ จึงทำให้เป็นความโดดเด่นและน่าสนใจ มีความสะดวกสบายครบวงจร รถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้าบนดิน รถไฟฟ้าใต้ดิน เรือด่วน เครื่องบิน ศูนย์การค้าทันสมัย ตึกสูงๆสวยงามแปลกตาผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด การตกแต่งประดับประดาด้วยแสงสีสวยงามในยามค่ำคืนดูน่าหลงใหล ถนนซ้อนกันสองสามชั้นยังไม่พอให้รถในกทม.วิ่งจึงมีรถติดกันยาวเหยียดในช่วงเร่งด่วน
ด้านการดำเนินชีวิต ที่เร่งรีบไปเสียหมดทุกเรื่อง กินเร็ว เดินเร็ว ทำอะไรก็แก่งแย่งกัน ทั้งทำงาน ขึ้นรถ และการเป็นอยู่ที่เบียดเสียดยัดเยียดเนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากมารวมกันจากทุกสารทิศในกทม. รวมทั้งเป็นแหล่งอาชญากรทุกรูปแบบและมีอันตรายรอบด้าน ทำให้ไม่มีใครไว้ใจใคร การฉกชิงวิ่งราว การปล้นจี้เกิดขึ้นตลอด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็มีน้อย ผู้คนมีความอดทนสูงการดำเนินชีวิตที่ความกดดันหลายด้าน
ด้านการศึกษา เป็นแหล่งรวมมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทั้งด้านภาษาและโรงเรียนกวดวิชา การทำอาหาร การทำธุรกิจโรงแรม สถาบันด้านการเงินชั้นนำ รวมถึงมหาวิทยาลัยชีวิตที่มีหลายรูปแบบซึ่งทำให้ผู้คนได้รับบทเรียนจากที่กทม.นี่เอง
ศูนย์การแพทย์ ที่ทันสมัยที่มีการแข่งขันกันสูงทั้งภาครัฐและเอกชน ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ด้านต่างๆในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน รวมถึงรพ.ชื่อดัง
ศูนย์กลางการเมืองการปกครอง ทุกยุคทุกสมัยก็ต้องมาเรียกร้องประชาธิปไตยที่กทม.เช่นที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานผ่านฟ้าลีลาศ พระบรมรูปทรงม้า สนามหลวง ทำเนียบ ถนนราชดำเนิน สนามบิน สถานีโทรทัศน์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ดินแดง บ่อนไก่ ราชประสงค์ ฯลฯ ทุกแห่งล้วนกลายเป็นแหล่งที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองทั้งสิ้น (เคยมีคนถามกันเล่นๆว่า...ถ้าจะยึดกรุงเทพฯนั้นจะยึดตรงไหน?...)


ความเจริญด้านวัตถุ
กรุงเทพฯนับว่าเป็นศูนย์รวมความเจริญด้านวัตถุอย่างมาก ทั้งเทคโนโลยีรวมทั้งสถาปัตยกรรม การขนส่ง การค้าขาย การเงินการลงทุน สิ่งก่อสร้างตึกสูงๆสวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่เกิดจากความเจริญ การแพทย์ที่ก้าวหน้าทันสมัย การนำสมัยด้านแฟชั่น ดาราบัญเทิง การเจริญรอยตามฝรั่งมีร้านอาหารจานด่วนทุกหัวมุมถนน ความสะดวกสบายครบครันในกทม.

ความเจริญด้านจิตใจ
กรุงเทพฯถ้าพูดถึงความเจริญด้านจิตใจ จากการสำรวจความสุขของคนกทม. มีความสุขในเกณฑ์ที่ต่ำมาก เนื่องจากการบีบคั้นในการดำรงชีวิตที่ต้องต่อสู้แข่งขันกัน ค่าครองชีพก็สูง ความสุขในการดำรงชีวิตจึงลดลง มีความเครียดสูง อารมณ์ร้อน...จุดเดือดของอารมณ์ต่ำมากแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นขับรถปาดหน้ากัน ก็อาจตายได้เพราะความโกรธและดังนั้นคนกทม.จึงพยายามใฝ่หาหนังสือธรรมะมาอ่าน ทำให้ยอดขายหนังสือธรรมะพุ่งแรงสวนกระแสเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้คนอยากมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจตนเองยามคับขันจะได้มีสติตั้งรับทัน



กทม....ไม่ใช่ เมื่องไทยทั้งหมด...แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศ
ประเทศไทยมีถึง 77 จังหวัด(เพิ่มใหม่จังหวัดที่ 77 คือจ.บึงกาฬแยกมาจากจังหวัดหนองคาย)และแผนที่ประเทศไทยมีรูปร่างคล้ายขวาน ซึ่งกทม.อยู่บริเวณตรงกลางระหว่างขวานกับด้าม กทม.เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศไทยไม่ใช่เมืองไทยทั้งหมด แต่ผู้คนกทม.ก็มักตัดสินใจแทนคนอีก 76 จังหวัดโดยเฉพาะเรื่องการเป็นอยู่และการเมืองการปกครอง ความเห็นต่างทางความคิดทำให้มีการชุมนุมเกิดขึ้น ขอเพียงยอมรับฟังความคิดเห็นและเคารพความคิดและศักดิ์ศรีของคนอีก 76 จังหวัดบ้าง?ว่าพวกเขาต้องการอะไร? เราก็คงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อย่าตัดสินใจแทนหรือมองข้ามพวกเขาเหล่านี้

อยู่ใกล้กัน...กลับ...เหมือนไกล....
การเอื้ออาทร...ต่อเพื่อนร่วมโลก...บางครั้งก็ต้องมีการรณรงค์ให้เกิดขึ้น เพื่อปลุกจิตสำนึกให้ตื่นขึ้นมารับรู้...คุณคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่า เรื่องของเขา...เราไม่เกี่ยว...ไม่อยากยุ่ง...เช่นคนกำลังโดนทำร้ายหรือคนกำลังจะตายอยู่แล้ว...ถ้านิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ ก็ใจดำเกินไปแล้ว... ถ้านับความแล้งน้ำใจแล้ว...คงมีมากที่นี่(กทม.) บ้านใกล้เรือนเคียงไม่รู้จักกัน ไม่ไว้ใจกัน ห้องติดกันไม่รู้จักกันต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำงาน ไม่ค่อยยิ้มให้กัน ไม่ใช่ยิ้มไม่เป็น...แต่ไม่มีอารมณ์ยิ้ม?...



คนท้องและเด็ก คนแก่ขึ้นรถเมล์ ก็ต้องบอกขอสละเก้าอี้ให้นั่ง (ส่วนมากผู้หญิงเป็นคนลุกให้นั่ง ส่วนผู้ชายแกล้งนั่งหลับคอพับไปพับมาไม่รู้ไม่ชี้) ....เรื่องอย่างนี้ควรอยู่ในจิตสำนึก ช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่าและต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งสภาพสังคม...น่าห่วงมาก...อยู่ใกล้กัน...กลับเหมือนไกล...

ไม่มี...สถานที่ไหนของไทย...ที่จะรู้จักคำว่า...รถติด...ได้มากเท่ากทม.
“...รถติด...” เป็นเหตุผลยอดฮิตของคนกทม. ....เมื่อมีคนถามว่าทำไมมาสาย?... การเดินทางเป็นสิ่งที่จำเป็นและการที่รถติดนั้นเป็นของคู่กันกับกรุงเทพฯ ไม่ว่าวันไหน?...รถก็ติด โดยเฉพาะวันฝนตกแล้วยิ่ง อภิมหา...รถติด...หลับก็แล้ว 3 ตื่นก็แล้วยังไม่ขยับจากทางแยกเลย จนสงสัยว่าสี่แยกจะเหลือแต่ไฟแดงอย่างเดียวเสียกระมัง?...ใคร.? ขโมยไฟเขียวไป(นะ)....หรือตำรวจจารจรแอบหลับหรือเปล่าไม่เปิดไฟเขียวฝั่งเราซะที...


ถ้ามีเหตุการณ์อื่นแล้วยิ่งทำให้รถติดใหญ่ เช่น ฝนตก น้ำท่วม อุบัติเหตุ ติดขบวน ชุมนุม ประท้วง ดังนั้นคนกทม.จะรู้จัก จส.100 กันแทบทุกคน เนื่องจากเป็นข้อมูลในการหลีกเลี่ยงรถติดซึ่งเป็นประโยชน์มาก คนต่างจังหวัดเมื่อมากทม.จึงเข้าใจแล้วว่า...พอมาเจอรถติด...มันติดอย่างนี้นี่เอง... ดังนั้น...จึงเป็นข้ออ้างตลอดกาลที่พอฟังขึ้นแล้วได้ผล...

กรุงเทพฯ...เมืองที่มีชื่อที่ยาว..ว..ว...ว..มากที่สุดก็ว่าได้
ชื่อย่อว่า ...กทม. หรือยาวอีกนิดก็ กรุงเทพฯ หรือกรุงเทพมหานคร แต่จริงๆแล้วมีชื่อเต็มๆว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์

ชาวต่างประเทศ มาเที่ยวเมืองไทยเพราะมีวัด โบสถ วิหาร การเปรียญ บางคนมาไม่กลับ ตั้งจิต ภาวนา ทำสมาธิศึกษาธรรมะ ละกิเลศ เลิกยุ่งทางเพศ หาโมกขฺธรรม นำชีวิต เพื่อพิชิตชีวิต หลังการตายจะต้องการไปทางไหน สวรรค์ หรือนรก ตามที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสตอบพระอานนท์ ว่าชีวิตหลังการตาย ไปนรกเท่าขนโค ไปสวรรค์ เท่ากับเขาโค เราจะเป็นขนโค หรือ เขาโค คนที่เคยทำแท้ง คนที่เคย คดโกง คอร์รับชั่น รับสินบาท คาดสินบนฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก มาตั้งแต่เด็ก จนแก่แค่40-50 ปียังไม่พอ

ส่วนคำแปล(อ้างถึงhttp://nicky1544.storythai.com/200806/entry-73 )มีความหมายว่า พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร เป็นทีสถิตของพระแก้วมรกต เป็นนครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการน่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตรไว้

ต่างสี...ต่างราคา...
กทม.เป็นเมืองแห่งสีสรร...ไม่ว่าจะ สีเหลือง...แดง ..ชมพู...เขียว...ขาว...น้ำเงิน...หลากสี...ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบคนกรุงทั้งนั้น แฮะ..ๆๆ ..ในที่นี้ผึ้งงานขอยกเว้นเรื่องการเมืองไม่ขอกล่าวถึงเพราะอยากให้สมานฉันท์....แต่ต่างสีต่างราคาที่ว่านี้คื่อรถเมล์ของกทม. เช่น รถเมล์สีเหลือง...ใช้กาซNGV ราคาเริ่มต้น 12 บาท สีแดงขสมก.มีทั้งขึ้นฟรีตลอดสายและ 7 บาทตลอดสาย รถสีชมพู(เมื่อก่อนใช้เป็นเลดี้บัสแต่เดี๋ยวนี้ใช้เป็นกาซNGV) ซึ่งมีสีชมพูจ๋าทั้งคัน 8 บาทตลอดสาย รถสีเขียวเมล์เล็กหรือรถกระป๋อง ราคา6.50 ตลอดสาย(ตอนนี้ถูกเก็บเข้ากรุแล้วเปลี่ยนเป็นรถเมล์สีส้มแทนดีกว่าเดิม) รถสีส้มพัดลม 6.50 บาทตลอดสาย รถสีขาว-เขียวแอร์ เป็นกาซNGVรุ่นแรก ยังวิ่งอยู่ระยะแรก 11 บาท รถสีขาว-น้ำเงินขสมก.8 บาทตลอดสาย รถสีส้มยูโรทูแอร์ระยะแรก 12 บาท



เมื่อพูดถึงคนแน่นบนรถเมล์ ก็มีเรื่องเล่าตลกว่า...มีใครก็ไม่รู้..ตด..บนรถเมล์มีแต่กลิ่นที่ร้ายกาจ...ไร้เสียง จับไม่ได้ว่าใคร มีแต่รับรู้กลิ่นมาเป็นระยะๆ ช่วยกันดม แต่ไม่กล้าหันไปมองกลัวว่าคนที่มีปฏิกิริยาคือต้นกลิ่นไร้เสียง ...ที่นี้คนขับก็เรียกกระเป๋ามาข้างหน้าแล้วก็กระซิบอะไรเบาๆ ...สักพักกระเป๋าก็เดินมากลางรถว่า....ขอโทษนะคะ คนที่ตดนะจ่ายเงินค่ารถไม่ครบค่ะ...ทันใดนั้นหนุ่มนิรนามคนหนึ่งรีบตอบสวนกลับไปว่า...ผมให้แบงค์ยี่สิบคุณยังทอนเงินให้ผมเลย มาว่าผมจ่ายไม่ครบได้ไงครับ....5555….งานนี้คนขับ(แกล้ง)จับคนตดได้ทันที...พาเอาคนยิ้มกันทั้งคัน....
แต่ไม่ว่าจะรถเมล์สีอะไร...ก็แน่นเป็นปลากระป๋อง...ทุกวัน..จนแทบจะมีสโลแกนใหม่ว่า ...โหนบาร์เดี่ยว...เพื่อสุขภาพ ก็รถขสมก.ในกทม.นี่เอง...ค่ะ..

....ยั่วเย้า...ชาวกรุง...
เมืองกรุงพอรถติดนานๆ คนกทม.ก็คุ้นเคย...แต่บางครั้งก็อดหงุดหงิดไม่ได้เวลาที่เรารีบๆ แต่ไปไม่ได้ดั่งใจ(ยกเว้นมีปีก...บิน..555…) เรื่องราวบางเรื่องก็คิดได้ตอนรถติด..ด..ด..นานมาก...ตอนฝนตก... บางครั้งเวลารถติดก็อดที่จะมองรถคันข้างๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไมได้ บางครั้งเห็นแล้วก็ขำ...และลุ้นไปด้วย...ก็คันข้างๆแต่งหน้าไปด้วยฆ่าเวลาตอนรถติด พอไฟเขียวก็ขับต่อ...ได้คิ้วกับตาข้างซ้ายค้างไว้...พอรถติดอีกครั้งก็ได้อีกข้าง...ขับไปเรื่อยๆ ...สวยครบสูตรพอดี...
วงคาราบาว...เคยแต่งเพลงแมคอินไทยแลนด์....แซวเมืองกทม.ว่า(...มาถึงยุคสมัยนี้ยุค..กอ..ทอ...มอ...เมืองที่...คน-ตก-ท่อ... ) เนื่องจากขยันขุด...ขยันรื้อทั้งท่อและฟุตบาท พอฝนตกน้ำท่วมทีไร...คนตกท่อเป็นประจำ ที่จริงแล้วคนกรุงเทพฯ...ก็อิจฉาการใช้ชีวิตในชนบทหรือต่างจังหวัด ...ซึ่งพอวันหยุดทีไร?...คนก็จะหนีกทม.ไปต่างจังหวัดเพื่อลืมความวุ่นวายของชีวิตบ้าง แต่คนต่างจังหวัดก็อยากมากทม. ซึ่งก็น่าแปลกที่...คนในอยากออก...คนนอกอยากเข้า..ต่างคน...ต่างมอง...คนละมุม






น้ำเอย...น้ำใจ...คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ทุกข์จากน้ำท่วมในครั้งนี้หลายอำเภอและหลายจังหวัด ได้รับน้ำใจจากคนเมืองกรุง(เทพ)มากทีเดียว จากการกระจายข่าวของศุนย์ความเจริญของข่าวสารและเทคโนโลยีที่นี่ เป็นข้อดีและเป็นศรัทธาตอนวิกฤติ...ที่ทำให้คนไทย....มีน้ำใจ...ไม่ทิ้งกันในยามทุกข์ยาก...ร่วมกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน...แล้ววันใหม่...ที่ดีกว่า...ก็จะมาถึง ขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมทุกคนจงมีกำลังใจที่เข็มแข็ง และขอให้ท่านเชื่อมั่นว่าคนไทย...นั้นไม่เคย
สมุนไพรเมืองไทยมากมาย หลายประเทศเอาไปจดลิขสิทธิ์ ทานสมุนไพรไม่มีพิษ พิชิตมะเร็ง เข่นภูคาวหรือภูตอง คนเหนือเขื่อหลายเอาไปจิ้มน้พริก เขาชาวเหนือจึงไม่เป็นมะเร็ง วันนี้มีคนไทยเอาภูคาว ไปผสมสมุนไพรหลายอย่าง ทำเครื่องดึ่มโปรไบโอติก ทำให้ร่างกายฟิตกระชับ ระงับกลิ่น ลองไปศึกษาหาได้ที่ www.patsiri.com
คนไทยเก่งหลายอย่าง นักศึกษามากมายได้รางวัลย์ นักวิทยาศาสตร์ เหรียญทอง ระดับโลก มีโชคคนไทยได้กลายเป็นวิศวกร ผลิตปลั๊กประหยัดน้ำมัน อเมริกาเอาไปทดลอง ประสพความสำเร็จ สั่งเอาไปขายล้านตัว นำเงินเข้า หลายหมื่นล้านบานตะไท ลองไปหาใช้ดูได้ที่ www.patsiri.com
ดูภาพใน Bing

ไปประเทศไหนก็ไม่สุขใจ เท่าอยู่ประเทศไทย มีอาหาร การกิรนทั้งคืนทั้งวัน ที่สำคัญ มีน้ำ พริก ปลาร้า ปลาเจ่า

สมุนไพรไทย ขวดนี้ราคา สามสิบบาทก็มี อเมริกายังสั่งไปขาย ที่นัน ราคา 3200 บาทขาดตัวต่อไม่ได้ เมืองไทยต่ราคากันได้ คนไทยน้ำใจดี เป็นอะไรไปดูได้ให้ละเอียดได้ที่ www.patsiri.com
www.patsiri.com
028107832 0868030656